เทศน์เช้า วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรม ธรรมะคืออะไรล่ะ เวลาอยู่บ้าน ไปบ้าน โอ้โฮ! เมียเทศน์ทั้งวันเลย ไปวัดพระด่าทั้งวันเลย แล้วธรรมะมันคืออะไรล่ะ เวลาเมียด่านะว่าเทศน์ เวลาไปวัดบอกว่าพระด่า แล้วธรรมะมันคืออะไรล่ะ
ธรรมะมันคือสัจธรรม อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
คำว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นหัวใจของศาสนา
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รื้อค้นขึ้นมาเป็นสัจจะความจริง แล้วเอาสิ่งนี้ยืนยันในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมและวินัยเป็นวิธีการ เป็นเครื่องประกอบ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ ศีล สมาธิ นี่มันเป็นอะไร มันเป็นชื่อ แต่ตัวเองไม่มีนะ
ดูแม่น้ำนะ เขาบังคับไว้ด้วยตลิ่ง แม่น้ำเขาบังคับให้มันไหลไปด้วยตลิ่งใช่ไหม นี่เหมือนกัน ความรู้สึกของเรานี่ ถ้าเราทำคุณงามความดีเพื่อเรา ทุกคนว่าคุณงามความดีหมดนะ ลองเถียงกันสิ ทุกคนบอกว่าทำความดีทุกคนเลย แต่มันดีของใคร
ถ้าดีของใครนี่ มันต้องเทียบด้วยศีลธรรม ศีลธรรมนี่เอามาเปรียบเทียบว่ามันเป็นความดีของใคร ความดีในศีล ๕ ความดีของศีล ๘
ศีล ๘ เขาไม่กินข้าวเย็น ไอ้คนที่กินข้าวเย็นเขามีความสุขนะ แล้วไอ้ไม่กินข้าวเย็นล่ะ แล้วของใครถูกล่ะ ไอ้ชาวบ้านเขากิน ๕ มื้อ ๑๐ มื้อนะ ไอ้พวกถือศีล ๘ เขาว่าฉันมีศีลมากกว่า แล้วถือธุดงควัตร ฉันมื้อเดียว พอฉันมื้อเดียวแล้วยังอดนอนผ่อนอาหารเข้าไปอีก แล้วความดีของใคร แล้วความดีอันไหนมันถูก
ความดีนะ ดูสิ แม่น้ำเขาใหญ่โตมากนี่ ตลิ่งจะสูงชันมาก มันจะบังคับแม่น้ำสายใหญ่ ถ้าเป็นลำคลอง เป็นลำธาร ตลิ่งมันก็แคบลง ทุกอย่างเล็กลง นี่ก็เหมือนกัน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นี่สิ่งนี้ แม่น้ำใครกว้าง ถ้าแม่น้ำมันกว้างการเดินเรือ การคมนาคมสะดวกสบายนะ ถ้าแม่น้ำมันแคบ เรือมาต้องหยุดก่อน หลีกกันนะ มันไปไม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน เวลาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ แล้วศีลของใครล่ะ แต่ไอ้พวกการกินการอยู่นี่ เราได้ปัจจัย ได้วัตถุมา เราก็ว่าสิ่งนี้มันเป็นความถูกต้อง แต่เวลาเป็นนามธรรมล่ะ มันเป็นความรู้สึก เป็นความสุขที่มหาศาล เป็นความปล่อยวางที่กว้างขวาง อันนั้นเรามองไม่เห็น
พอเรามองไม่เห็น เราถึงบอกว่า โอ๊ย... เขาถือศีล ๘ เราถือศีล ๕ ก็พอ ถือศีล ๕ เราจะกินข้าวเย็นได้ ไอ้พวกนั้นมันกินข้าวเย็นไม่ได้มันทุกข์กว่าเรา ไอ้ทุกข์กว่าเรา เห็นไหม แม่น้ำเขาสายใหญ่กว่าเรานะ การคมนาคมจะสะดวกกว่าเรานะ
สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เราทำคุณงามความดี ความดีเราทำด้วยมือ เวลาพระภาวนา เราทำด้วยสติ เราทำด้วยตั้งสติ เราทำด้วยความรู้สึกในหัวใจ เวลาตลิ่งมันบังคับแม่น้ำไป ความเพียรของเรา ความวิริยะอุตสาหะของเรา บังคับให้ใจของเราไปสู่เป้าหมาย บังคับความรู้สึกของเราให้ไปสู่เป้าหมาย หัวใจไม่เคยบังคับมัน ไม่เคยดูแลมัน ไม่เคยรักษามัน
ครูบาอาจารย์บอกว่า ให้รักษาใจ ดูใจ ให้รักษาจิต
เขาบอก ให้ดูจิต ดูจิตมันเพ่งเอานะ ดูสิ เราดูรูปภาพสิ แล้วเพ่งให้มันเป็นน้ำขึ้นมาได้ไหม? ไม่ได้หรอก... แหล่งน้ำ มันระเหยขึ้นไปเป็นไอ ไปเกาะกลุ่มเป็นเมฆ แล้วมันก็ตกลงมาใหม่ ฝนตกแดดออก มันก็เกิดเป็นน้ำ เป็นต่างๆ ขึ้นมา มันเป็นของมันโดยข้อเท็จจริง มันมีมันเห็นของมัน เวลาหิมะมันละลายขึ้นมามันเป็นต้นน้ำ มันเป็นตาน้ำ มันผุดออกมาจากตาน้ำเป็นต้นน้ำใช่ไหม
ความรู้สึกมันมาจากไหน ความรู้สึก ความคิดมันมาจากไหน มันมาจากฐีติจิต มันมาจากความรู้สึก จากจิตใต้สำนึก มันมาจากภวาสวะ ความคิดมันมาจากไหน ความทุกข์มันมาจากไหน ที่มันทุกข์ๆ นี่มันมาจากไหน มันมีที่มาที่ไปของมัน
รักษาจิตก็ดูมันนะ แต่ไม่รู้ว่ามันมาอย่างไร เวลาตลิ่งพังก็ไม่รักษา ดูสิ เวลาน้ำท่วมตลิ่งพัง มันท่วมไปนะ มันทำลายชีวิตเขาไปหมดเลย ไอ้นี่เหมือนกัน เวลามันไหลออกมานะ เวลาอารมณ์ความรู้สึกมันไม่มีสติควบคุม มันไหลออกไป มันทำลายเขาหมดเลย
แล้วบอกดูมันไง แล้วไม่รักษา ไม่ดูแลตลิ่งแล้วจะบังคับน้ำได้อย่างไร ไม่ตั้งสติ ไม่กำหนดคำบริกรรม ไม่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จะรักษาความรู้สึกได้อย่างไร ความสุขของตัวอยู่นี่ ปล่อยให้มันไหลไปตามธรรมชาติใช่ไหม มันไหลไปตามธรรมชาติมันก็ไหลไปตามกิเลสไง กิเลสคืออวิชชา คือความรู้สึกตัวของมัน มันไม่รู้สึกตัวนะ ความคิดมันไหลออกมา ใครคุมมัน ความรู้สึกนี่ เวลาทุกข์มันผุดขึ้นมานี่ ใครไปดูแลมัน แล้วมันปล่อยขึ้นไป แล้วสติปัญญาอยู่ที่ไหน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันมีอยู่แล้ว สมุทัย ก็คือตัณหาทะยานอยาก มันมีตัณหาหรือไม่มีตัณหา มันก็ไม่อยาก
ต้นไม้มันก็ไม่มีตัณหา ต้นไม้มีตัณหามันเอียงเข้าหากัน ต้นไม้เวลาโตขึ้นมานะ ไอ้ต้นเล็กกว่ามันเอียงหนีเลย มันจะเอาแดด ทั้งๆ ที่มันไม่มีวิญญาณมันยังรู้หลบรู้หลีกนะ แล้วไอ้เรา ไอ้มนุษย์นี่ มันโง่กว่าต้นไม้อีกหรือ ต้นไม้มันยังหลบหลีกของมัน มันจะเอาอากาศของมัน มันแย่งแสงแดดกัน มันยังเลื้อยออก หนีออก เพื่อไปเอาแสง ไอ้ของเราล่ะ หัวใจนี่ใครจะรักษาไหม ถ้ามันรักษา มันดูแล นี่คือฟังธรรม
พระไม่ได้ด่านะ พระบอกวิธีการ ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา ท่านเอาชีวิตเข้าแลกมานะ หลวงตาท่านพูดบ่อย น้ำพริกถ้วยหนึ่ง จะละลายทะเลไม่ไหว หัวใจดวงหนึ่ง แล้วหัวใจทุกๆ ดวง เห็นไหม วัฏฏะมันใหญ่มากนะ วัฏสงสาร จิตนี้เวียนเกิดเวียนตายในวัฏฏะ แล้วจิตหนึ่ง น้ำพริกถ้วยหนึ่ง แล้วน้ำพริกถ้วยนี้ไปละลายในวัฏฏะ มันก็จืดชืดไปหมด
แต่ถ้าเราจะเข้มแข็งขึ้นมาล่ะ เราจะทำของเราขึ้นมา น้ำพริกถ้วยหนึ่งด้วยกัน เราก็มีหัวใจอันหนึ่งเหมือนกัน เราจะตั้งสติของเราขึ้นมาเหมือนกัน เราจะต้องเข้มแข็งขึ้นมาเหมือนกัน นี่ธรรมะส่วนบุคคล เวลาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมชาติมันให้ผลกับใคร
ชาวไร่ ชาวนา เวลาฝนตกแดดออก เขาทำกสิกรรมของเขาๆ ได้ข้าว ได้ใช้นะ ไอ้เราไม่ได้ทำกสิกรรม ฝนตกแดดออกนี่ทำธุรกิจเขาไม่ชอบ เวลาฝนตกแดดออกมันทำธุรกิจไม่สะดวก ไอ้ฝนตกแดดออกชาวนาเขามีความรื่นเริง เขามีความพอใจ เขาได้ใช้ของเขา
นี่ก็เหมือนกัน ศีล สมาธิของใคร ธรรมชาติๆ ของใคร ธรรมชาติมันก็เกิดตายไง ความเกิดความตายมันก็เป็นธรรมชาตินะ เกิดตายขึ้นมาเป็นธรรมชาติไหม เราบอกเกิดตายขึ้นมามันเป็นการดำรงเผ่าพันธุ์ มันเป็นกามคุณ ๕ แล้วโอปปาติกะล่ะ เทวดาเขาเกิดอย่างไร โอปปาติกะเขาเกิดอย่างไร นรกอเวจีมันเกิดอย่างไร มันต้องมีพ่อแม่ให้ไปเกิดไหม นรกอเวจีไม่ต้องมีพ่อแม่ไปหรอก
เทวทัต เวลาทำกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องตกนรกอเวจีหรอก มันดูดไปสดๆ นี้เลย มันดูดลงปฐพีไปเลย นี่มันเกิดจากอะไรล่ะ มันเกิดจากกรรม คนเรามันมีกรรม มีการกระทำใช่ไหม การกระทำอันนี้มันฝังไปในหัวใจใช่ไหม แล้วครูบาอาจารย์ท่านรื้อค้นเข้าไปๆ บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาเข้าไปถึงจิต ไปถึงข้อมูลของมัน ชาติที่แล้วเป็นพระเวสสันดร เป็นสหชาติ เป็นพระโพธิสัตว์ ได้สร้างบุญกุศลมา แล้วเราล่ะ
ข้อมูลอันเดียวกัน คอมพิวเตอร์โปรแกรมเดียวกัน ต้นขั้วอันเดียวกันหมดเลย แต่พระโพธิสัตว์ท่านรื้อค้นของท่านได้ เราเป็นสาวก สาวกะ อ่อนแอ! นี่ ดูสิ เวลาคอมพิวเตอร์นะ เวลาไฟมันตก ไฟมันไม่สม่ำเสมอ มันติดๆ ดับๆ หัวใจของเรานี่มันอ่อนแอ กำลังไฟมันไม่พอนะ มันติดๆ ดับๆ ดับๆ ติดๆ นะ ไม่เชื่อศาสนาก็เชื่อ แล้วเชื่อศาสนาก็ไม่เอาไหน จะทำก็ไม่กล้า จะทำแล้วมรรคผลนิพพานมันก็ไม่มี ไฟมันติดๆ ดับๆ เราถึงต้องมาเจริญศรัทธา เราทำบุญกุศลเพื่ออะไร เพื่อให้ศรัทธาเรามั่นคง
ตลิ่งมันบังคับน้ำไปนะ ศีล สมาธิ ปัญญา บังคับให้ใจเรามามีศรัทธา มีความเชื่อ บังคับให้ใจเรามา จิตใจนี่มันอยากมา มันลากให้ร่างกายนี้มา แล้วมันมาสร้างบุญกุศลของมัน ให้มันมั่นคงของมัน พอมันมั่นคงของมัน เดี๋ยวเราตั้งสติขึ้นมา กำหนดพุทโธขึ้นมา บริกรรมเข้ามา เดี๋ยวมันจะเข้าไปเห็น นี่โปรแกรมเดียวกัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตหนึ่ง จิตเหมือนกันหมด เสรีภาพ ภราดรภาพ เรามีสิทธิเท่ากันได้หมดเลย ถ้าเราทำความสะอาด ก็สะอาดเหมือนกัน แต่ตอนนี้เรามันสกปรก เราสกปรกด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้เรานี่แหละ ไอ้ความไม่รู้ แม้แต่ความดี เวลาประพฤติปฏิบัติ ต้องข้ามพ้นดีและชั่ว อาศัยความดีแต่ติดดีไม่ได้ ติดดีผ่านไม่ได้
ทุกคนอยากได้พาหนะ ทุกคนอยากได้รถคนละคัน ยิ่งรถยี่ห้อดีๆ ยิ่งชอบใหญ่เลย แล้วก็นั่งในรถนะ ล็อกอยู่ในนั้นเลย อยู่ในรถห้ามออกมา มันก็ตายอยู่ในรถนั่นแหละ ถ้ามีรถมา ไปถึงเป้าหมายแล้วต้องจอดรถ เปิดประตูออกจากรถ แล้วออกจากรถนั้นมา แล้วขึ้นไปสู่เป้าหมายของเรา
นี่ก็เหมือนกัน ความดีเป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนิน เป็นมรรค สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เป็นความคิด เป็นปัญญาชอบ งานชอบ งานชอบนี้สำคัญ งานชอบนี้งานอะไร เวลานอนก็นอนให้สะดวกสบาย นอนให้หลับลึกๆ นอนแล้วจะได้มีกำลัง งานชอบ เวลากินก็กินให้ดิบดี กินให้มีมาตรฐาน เวลาทำงาน งานชอบ งานอะไร หน้าที่อะไร กาลเทศะทำอย่างไร ความพื้นฐานของเรา ถ้าเราไม่มีสติ เราจะควบคุมตัวเราได้อย่างไร เราไม่มีสมาธินี่ มันจะเข้าถึงฐีติจิต เข้าไปถึงข้อมูลของกิเลส
คอมพิวเตอร์เขาจะแก้ เห็นคอมพิวเตอร์มันเสียไหม เราก็ไปดูๆ ลูบๆ คลำๆ แล้วก็กลับ ซ่อมเสร็จแล้ว แล้วมันเสร็จไหม คอมพิวเตอร์เขาจะซ่อมนะ เขาต้องถอดมันออกมา หัวใจที่จะแก้ไขภพชาติ มันต้องเข้าไปสู่จิต มันไม่ได้เข้าไปสู่ที่ความคิด ไอ้ความคิดมันเปลือกๆ คอมพิวเตอร์เวลามันเสียนะ ไปลูบๆ คลำๆ เสร็จแล้ว แล้วมันใช้ได้ไหม มันใช้ไม่ได้หรอก
นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติกัน ก็ลูบๆ คลำๆ โอ๋ย ซ่อมเสร็จแล้ว ดีไปหมดเลย ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมชาติ ถ้าการกระทำคอมพิวเตอร์แกะไม่ได้ แกะออกมาแล้วเป็นเศษเหล็ก เป็นชิ้นส่วน เราจะไปซ่อมมันได้อย่างไร เราก็เอามือลูบๆ นี่ เสร็จหมดแล้ว จิตก็เหมือนกัน เวลาใช้ปัญญาขึ้นมา จะไปขุดคุ้ยมัน จะไปหากิเลสขึ้นมา ทำไม่ได้ มันเป็น อัตตกิลมถานุโยค โอ๋ย... ลูบๆ คลำๆ คิดเอา นึกเอา ธรรมะเป็นธรรมชาติ
ธรรมชาติมันก็เกิดตาย ธรรมชาติคือผลของวัฏฏะ แต่เราจะเหนือธรรมชาตินะ เราเกิดมาในธรรมชาตินี่ แล้วเราจะรู้กฎของธรรมชาติ แล้วเราเข้าใจตามทฤษฎีของมัน แล้ววางไว้ตามความเป็นจริง เกิดสิ่งใดในภัยพิบัติต่างๆ เราเข้าใจเป็นธรรมชาตินะ เราหลบเลี่ยงไม่ได้ด้วยกรรม
เรารู้อยู่ แผ่นดินไหว เกิดเภทภัยต่างๆ มันทำลายหมดเลยนี่ แต่เราต้องอยู่กับมัน ถ้าเรารู้แล้วนะ เรารู้ถึงความเป็นไปของธรรมชาติ เราก็เสียใจแหละ แต่มันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจนะ เราทุกข์มากเลย
สัจธรรมก็เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจสัจธรรม เรารื้อค้น ต้องรื้อค้น รู้เองเห็นเอง เข้าไปเผชิญเอง แล้วมันจะเข้าใจได้เอง ศึกษามาขนาดไหน จำมานี่ เขาบอกเล่าไง โอ๊ย! ที่นั่นเสือดุนะ อย่าเข้าไปนะ ที่นั่นเสือดุนะ ตรงไหนไม่รู้ พลัดหลงเข้าไปมันกินตายเลย
นี่ก็เหมือนกัน นักภาวนา... อวิชชานะ... หาไม่เจอ มันอยู่บนหัวมึง! มันอยู่บนความคิด มันอยู่บนฐีติจิต มันอยู่กับปฏิสนธิจิต มันอยู่กับการเกิด มันอยู่ในหัวอกเรา มันอยู่ควบคุมเราทั้งหมดเลยล่ะ แต่ไม่เห็น เราถึงต้อง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องชำระตน ตนต้องเอาหัวใจของเรามาตีแผ่ด้วยสัจธรรม แล้วเราเข้าใจมันเป็นประโยชน์กับเรานะ
นี่พูดถึงสัจธรรม เห็นไหมนี่ศาสนา ตลิ่งน้ำมันไม่มีชีวิต ตลิ่งหรือว่าสิ่งขอบเขตของมัน จะบังคับให้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ได้ ความรู้สึกของเรา หัวใจที่มีคุณค่ามาก แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญานี่ มันเป็นวิธีการ มันเป็นขอบ มันเป็นกรอบที่บังคับให้เราทำคุณงามความดีกัน เราตั้งใจทำคุณของเรา แล้วทำของเรา ให้ประโยชน์กับเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์ในชีวิตนี้นะ เกิดมาไม่เสียชาติเกิด เอวัง